เกี่ยวกับเรา
หากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ประเทศไทยยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาทางอุตสาหกรรมและเศษฐกิจของประเทศโดยอาศัยการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นสำคัญและเป็นยุคที่ชนชาติจีนจำนวนหนึ่ง เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยโดยอาศัยเพียงเสื่อผืน หมอนใบ เพื่อเข้ามาเสี่ยงโชคในกรุงเทพมหานคร ซึ่งหนึ่งในชาวจีนจำนวนนั้นก็คือ “ นายบุญเคี้ยง แซ่จึง “ เป็นชาวจีนที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานถาวรในประเทศไทยโดยเดินทางโดยเรือสำเภาเข้ามา และเริ่มต้นอาชีพอย่างการใช้แรงงาน และเป็นกรรมกรในย่านเยาวราชและหัวลำโพง มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานหลากหลายอาชีพ แต่ส่วนใหญ่เป็นการใช้แรงงานเพื่อแลกเงินทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีความรู้ และข้อจำกัดทางด้านภาษานั่นเอง แต่หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตและอาชีพของชายชาวจีนผู้นี้ก็คือการได้มีโอกาสเปิดร้านซ่อมมอเตอร์ (Induction Motor) ซึ่งทำอยู่ในห้องแถวเล็กๆ และมีโอกาสได้คลุกคลีอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด แต่ด้วยความมี DNA ของนักสู้ นักคิดและเทคนิคความช่างสังเกตแบบครูพักลักจำ ได้สั่งสมความชำนาญดังกล่าว แล้วขยายผลไปสู่ การซ่อม ขาย และผลิตมอเตอร์ด้วยตนเองในที่สุด หลังจากนั้นจึงก่อตั้งบริษัท น่ำแซ มอเตอร์ จำกัด ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2493 โดยเป็นผู้ผลิตมอเตอร์เจ้าแรกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ปูเส้นทางสู่สายธุรกิจอย่างมั่นคง จากกรรมกรก่อสร้างสู่ประธานบริษัทผลิตมอเตอร์อุตสาหกรรมรายแรกของเมืองไทยจนมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการผู้ผลิตมอเตอร์อุตสาหกรรมในสมัยนั้น ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา กลุ่มน่ำแซสามารถขยายธุรกิจของตนเอง และสามารถเปิดโรงงานที่มีศักยภาพในการผลิตพัดลมไฟฟ้า (Industrial Fan) , เครื่องเป่าลมอุตสาหกรรม (Blower) และอื่นๆ ในเวลาต่อมาบริษัทได้ขยายตัวมากมาย จนสามารถก่อตั้งบริษัทเครือข่ายเพื่อสนับสนุนธุรกิจกันได้อีกหลายธุรกิจในนาม “ น่ำแซ กรุ๊ป “ ในอีก 30 ปีให้หลัง
สำหรับกลุ่ม YUSHI GROUP ถือเป็น Generation 3 ภายใต้การนำของ “ ยุทธ จึงสวนันทน์ “ บุตรชายคนโตของตระกูลจึงสวนันทน์ ที่มี ความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้มีความสามารถทัดเทียมชาติ อารยะ โดยต้องการพาเกษตรกรรมไทยไปสู่ตลาดโลก โดยปณิธานดังกล่าวเริ่มต้นด้วย ความสนใจศึกษาทางด้าน Information System Management โดยได้มีโอกาสได้รับการศึกษา และจบการศึกษาจาก Takushoku University , Tokyo ประเทศญี่ปุ่น และเริ่มต้นเส้นทางสายอาชีพโดยเข้าทำงานที่ บริษัท มิกิ มู่เลย์ (Miki Pulley,.Co.Jp) เป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำยักษ์ใหญ่ทางด้านการผลิตระบบส่งผ่านกำลัง เบรคอุตสาหกรรมและการผลิตคลัปปลิ้ง (Transmission) เพื่อสั่งสมประสบการณ์ทำงานในฐานะลูกจ้างเพื่อให้สามารถเรียนรู้มุมมอง สร้างความเข้าใจต่างๆ และสามารถเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรในการทำงานของประเทศชั้นนำทางด้านอุตสาหกรรมของโลกอย่างประเทศญี่ปุ่น อยู่เป็นเวลา 8 ปี หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับมายังประเทศไทย
โดยกลับเข้ามาอยู่ในส่วนของโรงงานผลิตมอเตอร์และเครื่องเป่าลมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นรากฐานดั้งเดิมของตระกูล และได้ทำการศึกษางานจนเชี่ยวชาญด้านธุรกิจที่ได้เรียนรู้มา และสังเกตุเห็นว่าบริษัทไม่มีคนที่เป็นคนเก่าแก่ที่สามารถอยู่กับบริษัทได้เลย ต่างจากวัฒนธรรมในประเทศญี่ปุ่นที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่จะอยู่ในองค์กรตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานจนเกษียณอายุแบบ “ Life Time Employee” และเมื่อมองเห็นปัญหาจุดนี้ซึ่งเป็นทางตันขององค์กรและบริษัทในประเทศไทย ที่ไม่สามารถทำให้บริษัทหรือองค์กรเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน อันเนื่องมาจากการไม่สามารถทำให้คนที่มีความรู้ ความสามารถอยู่กับองค์กรได้อย่างยั่งยืน จึงตัดสินใจก้าวสำคัญอีกครั้งด้วยการไปเรียนต่อในต่างประเทศในระดับปริญญาโทด้าน MBA จาก University of Washington และ Seattle University, เพื่อศึกษาด้านการบริหารโดยเฉพาะ โดยสาขาที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือสาขา Entrepreneurship โดยเป็นการเรียนรู้วิธีการวางแผนธุรกิจในแขนงต่างๆ ให้มีความสำเร็จลุล่วง จากการศึกษา case study มากมายในหลายธุรกิจ ทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว โดยเป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนที่สามารถเรียนและสำเร็จการศึกษาจากภาควิชาแขนงนี้ในเวลานั้น
หลังจากจบการศึกษา จึงเดินหน้าสายธุรกิจของตนเองโดย การนำประสบการณ์ทั้งหมด ทั้งจากชีวิตการศึกษา การทำงานในประเทศญี่ปุ่นและการทำงานในประเทศไทยมาหลอมรวมจนตกผลึกทางความคิด หลังจากนั้นจึงนำหลักคิดดังกล่าวมาวางแผนดำเนินธุรกิจ โดยหนึ่งนโยบายสำคัญคือการเปิดโอกาสเจ้าหน้าที่ในทุกระดับสามารถเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างยั่งยืน แข็งแกร่ง นำมาสู่การเติบโตสู่การเป็นเจ้าของกิจการร่วม เพื่อแก้ปัญหาพนักงานลาออก และพนักงานระดับมันสมองอยู่กับองค์กรได้ไม่นานโดยเริ่มต้นเส้นทางและแนวคิดการสร้างนโยบาย และกลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจให้เติบโตและขยายตัวให้ต่อเนื่องโดยสร้างพื้นฐาน Supply Chain ทางด้านอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของต้นตระกูล มาดำเนินนโยบาย M&A เพื่อขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจแขนงอื่น โดยเฉพาะภาคการเกษตร ดังภาพโครงสร้างด้านล่างที่ คุณยุทธ จึงสวนันทน์ ได้ออกแบบไว้
เริ่มต้นการสร้าง Supply Chain ทางด้านอุตสาหกรรมจากการก่อตั้งบริษัท น่ำแซ มิลเลนเนียม จำกัด ในปี 2540 โดยการขอเป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาจำหน่ายในประเทศไทยในหมวดของชิ้นส่วนอุตสาหกรรม (Machinery Components) ตามมาด้วยสินค้าอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ อีกมากมายในเวลาต่อมา จนธุรกิจค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องจากกลยุทธ์การทำธุรกิจ โดยใช้ต้นทุนที่จำกัดมากในช่วงเริ่มต้น จากนั้นเมื่อธุรกิจสามารถดำเนินไปด้วยดี จึงทำการขยายธุรกิจเพิ่มเติมโดยการเปิด บริษัท ไอดี มาร์ท จำกัด เป็นบริษัทที่สอง ด้วยแนวคิดที่ว่าต้องการให้ลูกค้าสะดวกสบายในการซื้อสินค้าและบริการทางด้านอุตสาหกรรมภายใต้ Concept “ One Stop Service “
ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งบริษัท ไอดี มาร์ท นี้เองเป็นบริษัทที่เป็นกลไกหลักในการค้นหาความต้องการทางด้านอุตสาหกรรมในโรงงานเพื่อการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรม (Demand) จากกระบวนการและกลยุทธ์ดังกล่าวจึงสามารถเห็นปัญหาสำคัญต่างต่างอีกหลายประการของอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งสะสมประสบการณ์ และเทคนิคทางด้านการผลิตสินค้าในหลายแขนงเพื่อสะสมเป็นข้อมูลเพื่อนำมาขยายธุรกิจในปัจจุบันซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่ต้องมีโรงงานผลิตเป็นหลัก จากนั้นก็ยังสะสมสินค้าเพื่อเป็นฐานให้กับ Supply Chain เพิ่มขึ้น จึงได้ก่อตั้งบริษัท น่ำแซ เวนติเลเตอร์ จำกัด ขึ้น เพื่อนำเข้าสินค้าพัดลมอุตสาหกรรมประหยัดพลังงานและดำเนินธุรกิจด้านการระบายอากาศโดยอาศัยนวัตกรรมการประหยัดพลังงานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง 3 บริษัทดังกล่าวจึงเป็นแกนหลัก (Key of Success) ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มน่ำแซ กรุ๊ป ภายใต้การนำของผู้นำในรุ่นที่ 3 แบบ “ ยุทธ จึงสวนันทน์ ” นับแต่นั้น และเป็นพื้นฐานให้กับบริษัทในกลุ่ม YUSHI ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นธุรกิจในกลุ่มน่ำแซ กรุ๊ป เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเนื่องจากการปรับโครงสร้างของบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจและขยายงานของกลุ่มบริษัท
โดยการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์และนโยบายใหม่หลายประการโดยหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ คือการเปลี่ยนชื่อคำนำหน้าบริษัทจาก น่ำแซ ซึ่งเป็นต้นกำเนิด เป็น “ YUSHI “ เพื่อให้สามารถแยกตัวออกจากกลุ่มธุรกิจเก่าของตระกูลได้อย่างชัดเจน และเดินหน้าสร้างความสำเร็จด้วยตนเอง โดยคำว่า “ YUSHI “ นั้นแปลว่า “ดีเลิศ” ในภาษาญี่ปุ่น อันสืบเนื่องมาจากการได้รับการบ่มเพาะวัฒนธรรมของชาวอาทิตย์อุทัยมาตั้งแต่ครั้งยังศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ต่อจากนั้นจึงเริ่มการขยายธุรกิจอีกขนานใหญ่ และได้ทำการก่อตั้งบริษัทที่สามารถทำการรับเหมาติดตั้งงานระบบต่างๆ ให้กับบริษัทภายในกลุ่มของตนเองโดยเป็นการดำเนินนโยบายด้านการพึ่งพาตนเอง และการนำนวัตกรรมต่างๆ
เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นสำคัญ เพื่อให้สามารถสอดรับการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมของบริษัทและส่งเสริมการผลิตสินค้าโดยระบบออโตเมติก (Automation) มากยิ่งขึ้นโดยอาศัยหลักการ “ Engineering Supply Chain “ เข้ามาสนับสนุนธุรกิจให้สอดคล้องซึ่งกันและกันเพื่อลดต้นทุนการผลิต บวกการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์ (Finished good) เพื่อเป็นพื้นฐานให้กับเป้าหมายใหญ่สุด นั่นก็คือการผลิตสินค้าภาคการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยี เพื่อรักษาคุณภาพและมีต้นทุนภาคการผลิตต่ำในอนาคตได้ต่อเนื่องด้วยการขยายธุรกิจออกมาอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลา 17 ปี จนสามารถแตกแขนงธุรกิจได้อย่างมากมาย โดยในทุกธุรกิจภายใต้กลุ่มของ YUSHI จะเน้นเรื่องนวัตกรรมเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จ
เริ่มต้นปี 2018 นโยบายการดำเนินธุรกิจและพื้นฐานทางธุรกิจที่วางไว้อย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องและยาวนาน YUSHI GROUP ได้ดำเนินนโยบายมาถึงการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการ หรือศัพท์ทางธุรกิจคือ “ M&A “ (Mergers and Acquisitions)โดยการควบรวมกิจการและเฟ้นหาพันธมิตรศักยภาพเพื่อร่วมมือในการดำเนินธุรกิจและเสริมความแข็งแกร่งระหว่างกัน และมีเป้าหมายให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด จากกระบวนการดังกล่าว ทำให้กลุ่ม YUSHI สามารถเปิดตัวธุรกิจทางด้านการผลิตสินค้าได้อย่างมากมาย อาทิ กลุ่มสินค้าเพื่อการอหังสาริมทรัพย์ , พัฒนาสินค้าด้านการเกษตรในโรงเรือน , การผลิตสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และการสร้างบริษัทขนส่งของตนเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตามเป้าหมายหลักของกลุ่ม “ YUSHI “ ยังจะคงเดินหน้าขยายธุรกิจนำไปสู่ภาคเกษตรกรรมในอนาคตอย่างต่อเนื่องด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีต่างๆ ตามปณิธานและความมุ่งมั่นดั้งเดิมที่ทำการก่อตั้งกลุ่มบริษัทขึ้น เพื่อที่จะนำความรู้และเทคโนโลยีไปสู่ภาคการเกษตรซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศอย่างแท้จริง
เพื่อให้เกษตรกรมีความรู้ ความสามารถในการรับรู้เทคโนโลยีการผลิตในภาคการเกษตรรูปแบบใหม่ มีรายได้ที่ยั่งยืน อนึ่งกลุ่มบริษัทมีนโยบายที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งนั่นคือการเติบโตไปพร้อมกัน หรือ “ Growth Together “ และซึ่งนโยบายดังกล่าวจะนำมาซึ่งรายได้ ความมั่นคงและยั่งยืนทางระบบเศษรฐกิจในระดับฐานรากอย่างถาวร เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดคือประเทศไทยอีกทั้งเป็นการสนับสนุนนโนบายของรัฐบาลคือไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) และสนองพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ ๙ อันเป็นที่รักยิ่ง ในเรื่องของการพึ่งพาตนเองและเศรษฐกิจพอเพียง Yushi Group มีความมุ่งมั่นและจะดำเนินสิ่งเหล่านี้ต่อไปเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศประเทศอย่างยั่งยืน
วิสัยทัศน์
เราเติบโต
อย่างไม่ทีที่สิ้นสุด
พันธกิจ
สร้างคนของเรา
ให้มีอนาคต ที่ดีกว่า